บทที่ ๗
บทที่
๗ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ผู้แต่ง
พระยาอุปกิตศิลปะสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนดอกสร้อย ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ
เพียงแต่ขึ้นต้นด้วยเอ๋ย ลงท้ายด้วยเอย ๑ บทมี ๘ วรรค
คุณค่า เนื้อหาแสดงสัจธรรมของชีวิตด้วยถ้อยคำภาษาที่สละสลวย
ที่มาของเรื่อง
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้ามาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy
Writen in a Country Churchyard ของทอมมัส เกรย์ (Thormas Gray) กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘
*Elegy หมายถึงโคลงที่กล่าวไว้อาลัย
หรือคร่ำครวญถึงผู้ที่จากไป โดยพระยาอุปกิตศิลปะสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
ได้ประพันธ์จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็นกลอนดอกสร้อยจำนวน ๓๓ บท
ประวัติผู้แต่ง
พระยา อุปกิตศิลปสารเกิดเมื่อวันที่ ๑๐
พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๒ ถึงแก่กรรมวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ศึกษาภาษาไทยเบื้องต้นที่วัดบางประทุนนอกธนบุรีและวัดประยูรวงศาวาสบวชเป็น
สามเณรและพระภิกษุที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้เปรียญ ๖
ประโยคและศึกษาวิชาครูด้วยเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ภาษาบาลี
และวรรณคดีโบราณ เคยเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาสำคัญหลายแห่งนามปากกาของ
พระยาอุปกิตศิลปสาร ที่รู้จักกันมาก เช่น อ.น.ก. อุนิกา อนึก คำชูชีพ ม.ห.น.
เป็นต้น เกียรติคุณพิเศษของพระยาอุปกิตศิลปสาร มีดังนี้
-เป็นคนแรกที่บัญญัติคำทักทายเมื่อแรกพบกันว่า "สวัสดี"
ซึ่งแปลว่า สะดวก สบายดี เพราะแต่ก่อนนี้แรกพบกัน
คนไทยไม่มีระเบียบในการใช้คำทักทาย
-เป็นนักประพันธ์ไทยคนแรกที่อุทิศโครงกระดูกให้แก่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์คือศิริราช
โดยกล่าวว่า "ฉันเป็นครูตายแล้วขอเป็นครูต่อไป"
-เป็น คนแรกที่แต่งตำรา
"สยามไวยากรณ์" หรือตำราไวยากรณ์ไทย ได้สำเร็จบริบูรณ์คือมีทั้ง
อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ และฉันทลักษณ์ โดยอาศัยเค้าโครงเก่าของกรมวิชาการ
และไวยากรณ์อังกฤษเป็นหลัก
เสียงระฆังดังหง่างเหง่ง
ทำให้ท้องทุ่งมืดมิดและทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว ในเวลานี้ทั่วแผ่นดินมืดมิด
ป่าใหญ่แห่งนี้เงียบสงัด มีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม
และก็ได้ยินเสียงจากคอกวัวควายดังแว่วมาแต่ไกล
เสียงนกแสกร้องขึ้นมาทำให้ข้าพเจ้าเสียขวัญ
ที่ใต้ต้นไม้มีเนินหญ้าซึ่งเป็นที่ฝังศพของคนในเขตนั้น
ศพที่นอนนิ่งอยู่ในหลุมลึกดูแล้วรู้สึกสลดใจ และตัวข้าพเจ้าเองก็ใกล้จะได้นอนอยู่ในหลุมนั้นเช่นกัน ยามหนาวเคยนั่งผิงไฟอยู่พร้อมหน้า
แต่ต้องมาทิ้งเพื่อนทิ้งแม่เรือนที่คอยหุงหาอาหารให้รับประทานเช้าเย็น
ทิ้งลูกน้อยที่เมื่อเห็นหน้าพ่อกลับมาก็ดีใจกอดคอฉอเลาะด้วยเสียงที่น่าฟัง
ความทะเยอทะยาน ขออย่าบันดาลใจให้ดูถูกชาวนาและครอบครัวอันชื่นบานของเขา คนมีชาติตระกูลสูง
คนมีอำนาจ คนมีหน้าตางดงาม
คนมีฐานะร่ำรวย ทุกคนต่างก็รอความตายเช่นเดียวกัน
บางศพที่ญาติตบแต่งด้วยเครื่องแสดงเกียรติยศอย่างดีที่ระลึกที่สร้างขึ้นถึงแม้จะงามเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาได้
เสียงชื่นชมเชิดชูในคุณงามความดีของผู้ตายก็ไม่สามารถรับรู้ได้
ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่
ร่างกายของคนตายจมอยู่ใต้พื้นดินมากมาย ขออย่าได้ดูถูกถิ่นที่นี้ว่าไม่ดี
เพราะอาจจะเป็นสถานที่มีชื่อเสียงมาก่อน อาจเป็นเจดีย์
หรือที่ฝังศพของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการในสมัยโบราณก็ได้
ซากศพทั้งหลายเหล่านี้ อาจเป็นซากศพของนักรบ
ผู้กล้าหาญ เช่น
ชาวบ้านบางระจันที่สู้รบกับกองทัพพม่าที่มาโจมตีกรุงศรีอยุธยาซึ่งอาจนอนถมจมดินอยู่
พวกมักใหญ่ใฝ่สูงจะทำในสิ่งที่ตนมุ่งหมายไว้และปิดบังความจริงบางอย่างไว้ไม่เปิดเผย ดังนั้นควรถือสันโดษไม่ฟุ้งซ่านทะเยอทะยาน
ศพบางศพมีคำจารึก
ที่จูงใจให้เลื่อมใสและสักการะ
ต่างจากชาวนาหรือคนธรรมดาซึ่งจารึกเพียงชื่อวันเดือนปีที่ตายไป
เพื่อจะได้มีชื่อเรียกในการอุทิศส่วนกุศลให้คนตายที่ชื่อนั้นชื่อนี้
แม้จะลืมที่ใดไปหมดแต่เมื่อใกล้ตายก็ยังคิดถึงชีวิตของตนเอง ใครจะยอมละทิ้งความสุขความสบายไปโดยไม่อาลัยไยดี
ขอให้ดวงจิตจงลืมกิจการงานทั้งหลาย ที่เคยสุขสนุกสบาย เคยเสียดาย
เคยวิตกและเคยปกครองละทิ้งถิ่นที่เคยให้ความสุขซึ่งเคยคิดเป็นเจ้าของ
ขอให้หมดวิตก หมดเสียดาย หมดความปรารถนา โดยไม่หันหลังเหลียวมองมันอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น