บทที่ ๒
บทที่
๒ บทเสภาสามัคคีเสวก
ตอน วิศวกรรมาและสามัคคีเสวก
ผู้แต่ง
พระบามสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนเสภา (กลอนสุภาพ)
ตอน วิศวกรรมา
เป็นกลอนทั้งหมด ๑๓ บท
ตอน สามัคคีเสวก
เป็นกลอนทั้งหมด ๙ บท
ที่มาของเรื่อง เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๖)
ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์
ขึ้น เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๕๗
จุดประสงค์ในการแต่ง
เพื่อใช้เป็นบทสำหรับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่าง ๆ
เนื้อเรื่อง
บทเสภาสามัคคีเสวก
ตอน วิศวกรรมา
ชาติใดที่มีศึกสงครามไม่มีความสงบสุขในแผ่นดิน
ประชาชนย่อมไม่มีจืตใจสนใจความงดงามของศิลปะ
แต่หากประเทศใด(ชาติใด)บ้านเมืองสงบสุขปราศจากสงคราม
ประชาชนก็จะทำนุบำรุงการศิลปกรรมทั้งปวงให้เจริญรุ่งเรือง
ชาติใดที่ปราศจากช่างศิลป์
ก็เปรียบเสมือนหญิงสาวที่ไม่มีความงามไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของใคร มีแต่จะถูกเยาะเย้ยให้ได้อาย อันศิลปกรรมนั้นช่วยทำให้จิตใจคลายเศร้า ช่วยทำให้ความทุกข์หมด
ทำให้จิตใจของเรามีความสุขซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย(ทำให้สุขภาพ
ใจและกายดี) ตรงกันข้าม หากใครไม่เห็นคุณค่าความงามของศิลปะ
เมื่อเผชิญความทุกข์ก็ไม่มีสิ่งใดมาเป็นยาช่วยรสมานบาดแผลของจิตใจ เขาเหล่านั้นจึงเป๋นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก เพราะความรู้ทางช่างศิลป์สำคัญเช่นนี้
นานาประเทศจึงนิยมยกย่องคุณค่าของศิลปะและความสามารถเชิงช่างของช่างศิลป์
ว่าเป็นเกียรติยศ ความรุ่งเรืองของแผ่นดิน
คนที่ไม่เห็นคุณค่าของศิลปะก็เหมือนคนป่าคนดง ป่วยการอธิบาย
พูดด้วยก็เปลืองน้ำลายเปล่า แต่ประเทศไทยของเรานั้นเห็นคุณค่าของงานช่างศิลป์
เช่น ช่างปั้น ช่างเขียน ช่างสถาปัตย์ ช่างทองรูปพรรณ ช่างเงิน
ช่างถมและช่างอัญมณี
ซึ่งเราควรสนับสนุนงานช่างศิลป์ไทยให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองอย่าให้ด้อยน้อย
หน้ากว่านานาประเทศ
ชาวต่างชาติเมื่อมาเยือนเมืองไทยจะได้ซ้อหางานศิลปะเหล่านี้กลับไปเพราะเห้น
ในคุณค่า การช่วยสนับสนุนงานศิลปกรรม
และส่งเสริมช่างศิลปฺไทยให้สร้างสรรงานศิลปะขึ้นจึงเท่ากัยได้ช่วยพัฒนา
ชาติ ให้เจริญพัฒนาอย่าถาวร
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
สิ่งหนึ่งที่เราควรมีไว้ในจิตใจคือ
พระเจ้าแผ่นดินเปรียบเสมือนพ่อบังเกิดเกล้าที่เราควรเกรงใจและเคารพนับถือ
เราต้องไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป
ควรนึกว่าพวกเราก็เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดินคนหนึ่งเหมือนลูกเรือที่
อยู่ในเรือกลางทะเลจำเป็นที่จะต้องมีความสามัคคีต่อกันและกัน ถ้าลูกเรือเชื่อฟังกัปตันก็จะต้องช่วยกัปตันอย่างแข็งขัน
ต้องตั้งใจฟังคำสั่งของกัปตันเรือก็จะรอดไปถึงจุดหมาย
แต่ถ้าลูกเรือไม่เชื่อฟังกัปตันและเริ่มแตกคอกัน เวลาคลื่นลมแรงเรือก็จะโคลงเคลง
ต่อมาเรือก็จะจม ถ้าลูกเรือมัวแต่ทะเลาะกัน กัปตันก็จะไม่มีกำลังมาต่อสู้
ถ้าไม่เคร่งครัดต่อกฏระเบียบเวลาที่เกิดภัยอะไรขึ้นจะเดือดร้อนกัปตันสั่งอะไรก็ไม่ฟังพอถึงเวลาก็มีข้อขัดแย้งต่อมาก็จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น
ในที่สุดเรือก็จะล่มกลางทะเล
ถึงจะเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ควรขาดความสามัคคีปรองดองกัน
เหตุการณ์ในพระราชสำนักก็เปรียบเสมือนเรือที่แล่นอยู่ตามทะเลมหาสมุทร
เหล่าข้าราชการในราชสำนักก็เหมือนเป็นกะลาสีควรให้ความสำคัญกับหน้าที่ที่
ต้องทำเป็นหลัก
ปฏิบัติตนตามกฏตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดและสามัคคีจงรักภักดีต่อพระ
เจ้าแผ่นดินไม่ควรแยกฝ่ายเลือกที่จะเคารพเชื่อฟังใคร ควรที่จะสามัคคีปรองดองกันในหมู่ข้าราชการเพื่อเป็นพลังในการทำความดีให้สม
กับที่มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น